บริษัทฯ ให้บริการโรงแรมที่ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ของนักท่องเที่ยวและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม สนับสนุนความร่วมมือเพื่อลดความเสี่ยงด้านความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดภาวะโลกร้อน เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าทั้งในพัฒนาโครงการและการดำเนินการ ตลอดจนการใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างรู้คุณค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
โดยบริษัทฯ ได้กำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ นโยบายด้านการบริหารจัดการพลังงานและคาร์บอน นโยบายด้านการบริหารจัดการขยะเศษอาหาร นโยบายด้านการบริหารจัดการวัสดุ ขยะ และของเสีย และนโยบายด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
การบริหารจัดการพลังงาน
ธุรกิจการให้บริการเป็นธุรกิจที่มีการใช้พลังงานสูงทั้งในส่วนที่เป็นการใช้งานโดยตรงจากการประกอบกิจการ และส่วนที่บริโภคโดยผู้ใช้บริการและแขกผู้เข้าพัก ทำให้การลดการใช้พลังงานในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้มีความท้าทาย ทั้งนี้ บริษัทฯ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดอัตราการสิ้นเปลือง แสวงหาเทคโนโลยีและพันธมิตรด้านการใช้พลังงานที่หลากหลาย เพื่อยังคงคุณภาพการให้บริการที่เป็นเลิศ แต่สามารถลดการบริโภคพลังงานไปพร้อมๆ ซึ่งการใช้พลังงานยังเป็นตัวแปรที่สำคัญต่อการปลดปล่อยคาร์บอนของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป และโรงแรมในเครือ
บริษัทฯ ดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการบริหารจัดการพลังงาน ที่บริษัทฯ มีการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเชิงกลยุทธ์อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับพันธมิตรในการศึกษาและจัดหาพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
เป้าหมาย
- บริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดปริมาณการใช้พลังงานต่อห้อง (energy intensity) ลงร้อยละ 2 ต่อปี เพื่อลดต้นทุนทางด้านพลังงานและสอดคล้องต่อเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ
- เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ครอบคลุมมากกว่าร้อยละ 10 ของโรงแรมทั้งหมด ภายในปี พ.ศ.2570
- ทุกโรงแรม (ร้อยละ 100) ที่บริษัทฯ บริหารจัดการเอง มีบริการที่เกี่ยวข้องกับการลดใช้พลังงานและชดเชยคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2570
โอกาสและความเสี่ยงทางธุรกิจ
โอกาส
- ลดต้นทุนทางธุรกิจในระยะยาวจากการบริโภคพลังงานที่ลดลง
- เพิ่มข้อได้เปรียบทางการแข่งขันด้านต้นทุนสำหรับโรงแรมระดับบัดเจ็ท
- ดึงดูดลูกค้าต่างชาติและลูกค้าที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ตอบสนองและส่งเสริม Sustainable lifestyle ของลูกค้า
- เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green Finance) เป็นที่สนใจของนักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง
ความเสี่ยงและความท้าทาย
- ความไม่เพียงพอทางด้านพลังงานในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้พลังงานสูง อาทิ ฤดูกาลท่องเที่ยว
- การลดใช้พลังงานอย่างสมดุลโดยไม่กระทบต่อการให้บริการและความพึงพอใจของลูกค้า
- พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ จำเป็นต่อกระบวนการดำเนินงานทางธุรกิจ แต่ก็เป็นทรัพยากรที่กระทบต่อปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญ
แนวทางการบริหารจัดการ
- กำหนดเป้าหมาย แผนงาน และติดตามประเมินผล
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานภายในพื้นที่ส่วนกลางของโรงแรมและห้องพัก ผ่านการบำรุงรักษาและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้และต่อยอด
- เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของลูกค้า
- สร้างความร่วมมือด้านพลังงานกับพันธมิตรต่างๆ
ข้อมูลการใช้ไฟฟ้าในองค์กร
2565
กิโลวัตต์-ชั่วโมง
2566
กิโลวัตต์-ชั่วโมง
2567
กิโลวัตต์-ชั่วโมง
หมายเหตุ
ปี 2566 - 2567 การท่องเที่ยวในประเทศไทยฟื้นตัว ส่งผลให้โรงแรมหลายแห่งมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น และมีการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
ผลการดำเนินงาน
ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรเพื่อการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมความต้องการใช้พลังงานที่หลากหลาย ขยายโอกาสทางธุรกิจควบคู่ไปกับการบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิผล
เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนพลังงานไฟฟ้า
- กลุ่มโรงแรมฮ็อป อินน์ เริ่มดำเนินการขยายการติดตั้ง Solar Rooftop ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึง พฤศจิกายน 2567 เพิ่ม 8 อาคาร รวมติดตั้งแล้วเสร็จ 11 อาคาร ขนาดและกำลังการผลิตของแผงโซล่าร์เซลล์รวม 176 กิโลวัตต์ สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 111,393 กิโลวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เฉลี่ยร้อยละ 6 ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าของโรงแรมฮ็อป อินน์ ทั้ง 11 อาคาร
-
กลุ่มโรงแรมในเครือแมริออท ขยายการติดตั้ง Solar Rooftop ตั้งแต่เดือนเมษายน ถึง กรกฏาคม 2567 จำนวน 3 โรงแรมประกอบด้วย
- โรงแรม เจดับบลิว แมริออท กรุงเทพ
- โรงแรมคอร์ทยาร์ด โดย แมริออท กรุงเทพ และ
- เดอะ นาคา ไอแลนด์ เอ ลักซ์ชัวรี่ คอลเลคชั่น รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต
ขนาดและกำลังการผลิตของแผงโซล่าร์เซลล์รวม 655 กิโลวัตต์ สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 472,966 กิโลวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เฉลี่ยร้อยละ 5 ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้ง 3 โรงแรม
-
ปี 2567 บริษัทฯ ขยายการติดตั้ง EV Charging Station เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าของโรงแรม รวม 11 แห่ง ประกอบด้วย
- โรงแรมเจดับบลิว แมริออท
- โรงแรมคอร์ทยาร์ด โดย แมริออท กรุงเทพ
- โรงแรมโนโวเทล ไอบิส สไตล์ กรุงเทพ สุขุมวิท 4
- โรงแรมไอบิส กรุงเทพ ริเวอร์ไซด์
- โรงแรมไอบิส กรุงเทพ สาธร
- โรงแรมไอบิส กรุงเทพ สุขุมวิท 4
- โรงแรมไอบิส ภูเก็ต ป่าตอง
- โรงแรมฮ็อป อินน์ หัวหิน
- โรงแรมฮ็อป อินน์ กาญจนบุรี
- โรงแรมฮ็อป อินน์ ชลบุรี
- โรงแรมฮ็อป อินน์ เชียงใหม่

ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า
- เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องใช้ไฟฟ้า ปรับเปลี่ยนระบบผลิตน้ำเย็น (Chiller Plant) ณ โรงแรม เจดับบลิว แมริออท กรุงเทพ สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ร้อยละ 26 ช่วยประหยัดได้ถึง 2,559,506 บาท
- บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นและดำเนินการมาตลอดในการเปลี่ยนจากหลอดไฟธรรมดาเป็นหลอดไฟประหยัดพลังงานตั้งแต่ปี 2562 ถึงปี 2567 ตามรอบระยะเวลาของการใช้งาน และรวมไปถึงการติดตั้งหลอดไฟใหม่ในพื้นที่ก่อสร้างโครงการใหม่
- บริษัทฯ ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นในเรื่องการบริหารจัดการพลังงาน โดยได้เริ่มดำเนินการทดลองติดตั้ง Double Motion Sensor ที่ (1) โรงแรม เจดับบลิว แมริออท กรุงเทพ จำนวน 2 ห้อง (2) โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพ จำนวน 1 ห้อง และ (3) โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ พัทยา จำนวน 1 ห้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานภายในห้องพักและลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น ซึ้งเป็นโครงการนำร่องในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567
ปริมาณการใช้พลังงานของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป
| การใช้พลังงาน | หน่วย | ปี 2564 | ปี 2565 | ปี 2566 | ปี 2567 |
|---|---|---|---|---|---|
| ไฟฟ้า | ล้านกิโลวัตต์/ชม. | 50.56 | 67.11 | 76.16 | 81.02 |
| น้ำมันดีเซล | ล้านลิตร | 74.71 | 73.08 | 52.27 | 58.17 |
| น้ำมันเบนซิน | ล้านลิตร | 24.78 | 16.46 | 10.52 | 15.94 |
| ก๊าซธรรมชาติ (LPG) | ตัน | 881.49 | 1,227.09 | 1,399.40 | 1,441.14 |
หมายเหตุ
- ปี 2566 - 2567 การท่องเที่ยวในประเทศไทยฟื้นตัว โรงแรมหลายแห่งมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
- ไม่นับรวมข้อมูลของศูนย์อาหาร ที่อาคารเพลินจิต เซ็นเตอร์ เนื่องจากเป็นการใช้พลังงานโดยผู้เช่าพื้นที่
- สามารถจัดเก็บข้อมูลการใช้เชื้อเพลิงได้ในบางการดำเนินงาน
- คำนวนรวมปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ
- รายงานฉบับนี้มีขอบเขตครอบคลุมเฉพาะการดำเนินงานของบริษัทภายในประเทศไทยเท่านั้น
การจัดการทรัพยากรน้ำ
เป้าหมาย
- เป้าหมายลดปริมาณการดึงน้ำจากแหล่งน้ำรวมร้อยละ 1 ต่อปี
- ลดปริมาณการใช้น้ำต่อห้องลงร้อยละ 5 ต่อปี
โอกาสและความเสี่ยงทางธุรกิจ
โอกาส
- ประหยัดต้นทุนการดำเนินงานจากการลดปริมาณการบริโภคน้ำที่สิ้นเปลือง
- การบริหารจัดการน้ำอย่างมีศักยภาพจะทำให้โรงแรมสามารถให้บริการได้อย่างเต็มศักยภาพตลอดปี
ความเสี่ยงและความท้าทาย
- โรงแรมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือบริเวณหมู่เกาะอาจเผชิญปัญหาการขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะในฤดูท่องเที่ยวที่มีปริมาณความต้องการใช้น้ำมาก และฤดูแล้งที่น้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติมีไม่เพียงพอ ทำให้การให้บริการอาจสะดุดลง
แนวการบริหารจัดการ
- ติดตามประเมินความต้องการใช้น้ำ ตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้งและการบำบัดน้ำเสียของโรงแรมอย่างสม่ำเสมอในทุกฤดูกาล
- บำรุงรักษาอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพพร้อมใช้อยู่เสมอ เลือกใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้น้ำน้อย
- สร้างการมีส่วนร่วมกับแขกผู้เข้าพักด้วยกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ
ผลการดำเนินงาน
บริษัทฯ มุ่งมั่นในการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งหมายรวมถึงการใช้น้ำจากแหล่งน้ำ การนำน้ำมารีไซเคิล และใช้ซ้ำผ่านนโยบายและยุทธศาสตร์การจัดการน้ำ บริษัทฯ ปฏิบัติตามกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐาน ISO 14001 และกฎหมาย ข้อบังคับอื่นๆ ด้านสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นที่การปรับปรุง ประสิทธิภาพและลดการใช้น้ำอย่างยั่งยืน นอกเหนือจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประหยัดน้ำแล้ว เรายังมี การรณรงค์ส่งเสริมให้ลูกค้าและพนักงานช่วยกันประหยัดน้ำ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เคมีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากปริมาณการใช้พลังงานแล้ว การใช้น้ำยังเป็นทรัพยากรที่ถูกบริโภคอย่างมากในกลุ่มธุรกิจโรงแรม โดย ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ได้มีแนวปฏิบัติเพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้ และลดปริมาณการใช้น้ำ ดังนี้
- รณรงค์ให้แขกผู้เข้าพักลดการเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวเพื่อลดปริมาณน้ำจากการซักทำความสะอาด
- สร้างความตระหนักรู้ให้แก่พนักงานถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า
- ติดตั้ง Aerator เพื่อลดปริมาณน้ำไหลจากก๊อกน้ำ เลือกใช้สุขภัณฑ์รุ่นประหยัดน้ำ
- ตรวจสอบอุปกรณ์ ระบบท่อ และมาตรวัดน้ำ เพื่อตรวจเช็ค บันทึกข้อมูลการใช้น้ำ และซ่อมแซมอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันน้ำรั่ว
- สร้างแหล่งกักเก็บน้ำจากน้ำฝนในพื้นที่ที่เหมาะสม
- สร้างระบบบำบัดน้ำเสีย และมีตรวจสอบคุณภาพน้ำใช้ที่ออกจากโรงแรมเป็นประจำ
ปริมาณการดึงน้ำจากแหล่งน้ำ
| 2565 | 2566 | 2567 | |
|---|---|---|---|
| ปริมาณการใช้น้ำประปาหรือน้ำจากองค์กรอื่น (ลูกบาศก์เมตร) | 1,047,587.00 | 1,269,078.96 | 5,515,743.00 |
| ปริมาณการใช้น้ำผิวดิน (ลูกบาศก์เมตร) | - | - | - |
| ปริมาณการใช้น้ำบาดาล (ลูกบาศก์เมตร) | 145,096.00 | 146,815.00 | 111,067.00 |
| ปริมาณการใช้น้ำทะเล (ลูกบาศก์เมตร) | - | - | - |
| ปริมาณการใช้น้ำจากกระบวนการผลิต (ลูกบาศก์เมตร) | - | - | - |
| อัตราส่วนปริมาณการใช้น้ำรวมต่อจำนวนพนักงานรวม (ลูกบาศก์เมตร / คน / ปี) | 320.53 | 350.21 | 1,310.39 |
| อัตราส่วนปริมาณการใช้น้ำรวมต่อรายได้รวม (ลูกบาศก์เมตร / รายได้พันบาท) (1) | 0.25 | 0.20 | 0.70 |
หมายเหตุ:
1 รายได้รวมแสดงค่าใช้จ่ายรวมจากงบการเงินรวม
2 ปี 2566 - 2567 การท่องเที่ยวในประเทศไทยฟื้นตัว โรงแรมหลายแห่งมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
3 รายงานฉบับนี้มีขอบเขตครอบคลุมเฉพาะการดำเนินงานของบริษัทภายในประเทศไทยเท่านั้น
ปริมาณการดึงน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ ในปี 2567

การขาดแคลนน้ำ
บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างมีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เผชิญภาวะการขาดแคลนน้ำ ในปี 2567 บริษัทฯ มีโรงแรมทั้งหมด 78 แห่งที่ดำเนินการทั่วทุกภาคในประเทศไทย เราได้ประเมินความเสี่ยงด้านการขาดแคลนน้ำผ่านเครื่องมือประเมินความเสี่ยงด้านน้ำจากภายนอก Aqueduct ของ World Resources Institute: WRI (https://www.wri.org/aqueduct) ซึ่งโรงแรมบางแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำ ทั้งนี้ จากผลการประเมิน พบว่า โรงแรมจำนวนมากตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำสูงถึงสูงมาก ขณะที่โรงแรมบางแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำปานกลางถึงต่ำ การประเมินข้อมูลดังกล่าวช่วยให้ผู้มีส่วนได้เสียรับทราบถึงระดับการเผชิญความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับน้ำขององค์กรและกลยุทธ์ที่เรานำมาใช้ในการจัดการความเสี่ยงมากขึ้น
เราสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำร่วมกัน และร่วมมือกันดำเนินโครงการและแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ดังนี้
- การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานด้านน้ำท้องถิ่น
- การเข้าร่วมโครงการสร้างความตระหนักรู้ในชุมชนเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
- การร่วมมือในโครงการการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการเข้าถึงทรัพยากรน้ำได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
- โครงการและแนวปฏิบัติดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้

การบริหารจัดการคาร์บอน
เจตนารมณ์ต่อการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมเกี่ยวข้อต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งจากการเดินทางของนักท่องเที่ยวเอง การใช้พลังงานเพื่อบริการผ่านแขกผู้เข้าพักผ่านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ หรือแม้กระทั่งการปรับปรุงและก่อสร้างที่จะต้องคำนึงถึงสภาพพื้นที่ ภูมิประเทศ และผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงภาพภูมิอากาศประกอบกัน
ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ตระหนักดีว่าการดำเนินธุรกิจโรงแรมต้องคำนึงถึงปัจจัยผลกระทบต่างๆ อย่างรอบด้าน จึงเจตนารมณ์ต่อการลดคาร์บอนองค์กรอย่างจริงจัง ครอบคลุมทุกโรงแรมในเครือ โดยต้องการสนับสนุนเป้าหมาย NDC (Nationally Determined Contributions) ของประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ในปีพ.ศ. 2608 (ค.ศ.2065) รวมทั้งได้กำหนดแผนการดำเนินงานด้านคาร์บอนในระยะยาวโดยสังเขปไว้
เป้าหมาย
- สนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี พ.ศ.2050 (พ.ศ.2593) ของประเทศไทย
- ทุกโรงแรม (ร้อยละ 100) ที่บริษัทฯ บริหารจัดการเอง มีบริการที่เกี่ยวข้องกับการลดใช้พลังงานและชดเชยคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2570
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (ขอบเขตที่ 1) และทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (ขอบเขตที่ 2) หน่วยตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
2564
2565
2566*
2567*
*ได้รับการทวนสอบโดยหน่วยงานภายนอก
หมายเหตุ: ในปี 2567 บริษัทสามารถลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สำเร็จ แม้ว่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีฐาน ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานและการจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจ
โอกาสและความเสี่ยงทางธุรกิจ
โอกาส
ธุรกิจโรงแรมของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ให้ความสนใจต่อการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกที่แตกต่างกัน ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกลุ่มลูกค้าองค์กรทั้งในและต่างประเทศที่สนใจการเข้าพักและการจัดประชุมที่สามารถจัดในรูปแบบของ Green Meeting หรือการเข้าพักที่สามารถชดเชยคาร์บอนได้ โดยหากบริษัทฯ มีการดำเนินงานอย่างเข้มข้นในจุดนี้ จะสามารถขยายฐานลูกค้าได้ในอนาคต นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green Finance) มากยิ่งขึ้น
ความเสี่ยงและความท้าทาย
ธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจการให้บริการที่มีการใช้พลังงานสูงและการใช้พลังงานส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากส่วนของผู้ใช้บริการ ซึ่งโรงแรมอาจมีอำนาจในการควบคุมหรือบริหารจัดการได้ยาก จึงนับเป็นความท้าทายของบริษัทฯ ในการก้าวไปสู่เป้าหมายเพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอน อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีความพยายามในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การก่อสร้าง รวมถึงนำนวัตกรรมด้านพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ มาปรับใช้ในกระบวนการธุรกิจให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ความต้องการใช้บริการโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีมากขึ้นจากทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจ หากโรงแรมไม่ปรับตัวเพื่อพร้อมรับมือกับความต้องการที่เกิดขึ้น อาจเสียโอกาสทางธุรกิจระยะยาวในอนาคต
แนวการบริหารจัดการ
- บริหารจัดการการใช้พลังงานให้เป็นไปตามเป้าหมายและแผนงานที่กำหนดไว้
- เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในส่วนของโรงแรม อาทิ การติดตั้งโซลาร์เซลล์ และการให้บริการลูกค้า อาทิ การเพิ่มจุดจอดรถสำหรับผู้ใช้รถไฟฟ้า (EV Charging Station)
- กำหนดเป้าหมาย แผนงาน แนวการบริหารจัดการ รวมถึงการกำหนดปีฐานเพื่อติดตาม ประเมิน และลดการปลดปล่อยคาร์บนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
- สร้างความร่วมมือด้านคาร์บอนกับพันธมิตรต่างๆ
- ให้ความรู้และความตระหนักรู้แก่พนักงานและผู้บริหารเกี่ยวกับบทบาทของผู้ให้บริการโรงแรมที่กระทบต่อการเปลี่ยนแปลงภาพภูมิอากาศ
- ยกระดับโรงแรมให้ได้มาตรฐาน Green Hotel และมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
ผลการดำเนินงาน
ตั้งแต่ปี 2566 ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ได้รับการตรวจประเมินและรับรองการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ระดับองค์กร (CFO) ขอบเขตที่ 1 และ 2 จากหน่วยงานภายนอก บริษัทฯ เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงทั้งหมด (ขอบเขตที่ 1) โดยอ้างอิงจากระบบการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบได้ รวมถึงการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้า (ขอบเขตที่ 2) ซึ่งมาจากแหล่งการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยคำนวณในรูปแบบ location-based ทั้งนี้ ตามแนวทางของ GHG Protocol การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าในรูปแบบ market-based ขององค์กร มีปริมาณเท่ากับจากการคำนวณแบบ location-based ทั้งนี้ การรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อมครอบคลุมโรงแรมทั้งหมดที่ดำเนินการในประเทศไทย ภายใต้แนวทาง operational control approach ซึ่งได้รับการทวนสอบโดยหน่วยงานอิสระภายนอก เพื่อสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ปีงบประมาณ 2566: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 ขององค์กร มีปริมาณ 3,835 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และขอบเขตที่ 2 มีปริมาณ 16,706 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
- ปีงบประมาณ 2567: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 ขององค์กร มีปริมาณ 3,958 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และขอบเขตที่ 2 มีปริมาณ 19,001 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
บริษัทฯ ใช้ข้อมูลดังกล่าวในการกำหนดค่าฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดทำแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและแผนจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ เรายังได้ดำเนินงานอื่นๆ ที่สำคัญ ดังนี้
- ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับ SCG Cleanergy สนับสนุนการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ภายในโรงแรมในเครือ
- ร่วมมือกับ BanpuNext ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานภายในโรงแรม
- ขยายจุดให้บริการ EV Charging Station ในโรงแรมเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ริเริ่มโครงการ “STAY FOR SANTA” ร่วมกับ Carbon Market Club ในปี 2566 เพื่อชดเชยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ส่วนบุคคล 332 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่
- ESG & Carbon Knowledge Sharing ให้ความรู้ผู้บริหารระดับสูงและพนักงาน
- ปลูกต้นไม้ 500 ต้นเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กรุงเทพฯ และปลูกป่าชายเลน 20 ไร่ เพื่อเพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอนในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
- ในปี 2567 บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมสนับสนุนปลูกต้นไม้จำนวน 200 ต้น ณ บริเวณสวน 50 สุข เขตคลองเตย กรุงเทพฯ เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลกวันที่ 7 มิถุนายน 2567
เราตระหนักถึงความสำคัญของการเก็บรวบรวมข้อมูลและการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่า (ขอบเขตที่ 3) ให้สอดคล้องกับมาตรฐาน GHG Protocol Corporate Value Chain Standard เนื่องจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศ และมีบทบาทอย่างยิ่งในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว
ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่ได้กำหนดให้การรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 เป็นภาคบังคับ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ อยู่ระหว่างการประเมินความพร้อมของข้อมูล รวมถึงพิจารณาวิธีการคำนวณข้อมูลในหมวดหมู่ต่างๆ ของขอบเขตที่ 3 เพื่อเตรียมการเปิดเผยข้อมูลให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติระดับสากลต่อไป
การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
ผลตอบแทนจากการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม
บริษัทฯ มีกระบวนการรายงานภายในเพื่อใช้ในการติดตามและบันทึกข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการและแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมของหน่วยธุรกิจ โดยติดตามค่าใช้จ่ายและการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการจัดทำงบประมาณและการรายงานเกี่ยวกับโครงการ ทำให้สามารถกำกับดูแลได้ทั้งในระดับองค์กรและระดับหน่วยงาน
กระบวนการดังกล่าวแสดงถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะพัฒนาผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง สร้างความโปร่งใสในการติดตามข้อมูลทางการเงินสำหรับโครงการสิ่งแวดล้อมในระดับองค์กร และช่วยป้องกันการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม รวมถึงเหตุการณ์เชิงลบที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศหรือการดำเนินธุรกิจ
การละเมิดด้านสิ่งแวดล้อม
เรามุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเคร่งครัดในการดำเนินงานทุกด้าน โดยมีกระบวนการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในที่สนับสนุนการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมโดยรวมขององค์กร
ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา (ปีงบประมาณ 2564 – 2567) บริษัทฯ ไม่เคยถูกปรับทางการเงินที่มีนัยสำคัญ และไม่เคยได้รับบทลงโทษจากกรณีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศที่มีมูลค่าเทียบเท่าสูงกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐโดยประมาณ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กรในการปฏิบัติตามข้อกำหนด การปกป้องสิ่งแวดล้อม และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
บริษัทฯ บูรณาการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ากับกรอบการบริหารจัดการความเสี่ยงระดับองค์กร ตามมาตรฐาน COSO 2004 และผสานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร ภายใต้หลักการ Three Lines of Defense โดยมีหน่วยปฏิบัติงานทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันระดับแรก คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันระดับที่สอง ในขณะที่หน่วยตรวจสอบภายในทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันระดับที่สาม เพื่อให้การรับรองอย่างอิสระ ทั้งนี้ เราได้จัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ และติดตามสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกองค์กรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจสามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างทันท่วงที
การประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศครอบคลุมความเสี่ยงในหลายประเภท ดังนี้
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบปัจจุบัน
ความเสี่ยงที่เกิดจากการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่มีผลบังคับใช้ในประเทศไทยในปัจจุบัน เช่น ข้อกำหนดด้านการอนุรักษ์พลังงาน การรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมาตรฐานสิ่งแวดล้อม
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เกิดขึ้นใหม่
ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับนโยบายใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น เป้าหมายของภาครัฐในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) หรือการปรับเปลี่ยนกลไกทางภาษีสิ่งแวดล้อมและมาตรการกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing)
ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี
ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมภาคการบริการและการท่องเที่ยว เช่น การใช้ระบบที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน หรือนวัตกรรมด้านการจัดการของเสีย ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนสูง
ความเสี่ยงด้านกฎหมาย
ความเสี่ยงจากการถูกฟ้องร้องหรือความรับผิดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงกรณีการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม หรือข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรและการจัดการของเสีย
ความเสี่ยงด้านตลาด
ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า เช่น ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับท่องเที่ยวเชิงยั่งยืน โรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการดำเนินงานที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน
ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง
ความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์ของบริษัทฯ หรือความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้เสีย หากไม่มีการจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม รวมถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับการรับรู้เชิงลบจากนักลงทุน แขกผู้เข้าพัก และคู่ค้าทางธุรกิจ ต่อการดำเนินงานด้านความยั่งยืน
ความเสี่ยงทางกายภาพแบบเฉียบพลัน
ความเสี่ยงในระยะสั้นที่เกิดจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น ฝนตกหนัก พายุ หรืออุทกภัย ซึ่งอาจทำให้การดำเนินงานของโรงแรมหยุดชะงัก หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน
ความเสี่ยงทางกายภาพแบบเรื้อรัง
ความเสี่ยงในระยะยาวที่เกิดจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้น ภาวะแห้งแล้ง หรือระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทำเลที่ตั้งโรงแรม ต้นทุนการดำเนินงาน และความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
การประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศของบริษัทฯ ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่า ดังนี้
การดำเนินงานของบริษัทฯ
การประเมินความเสี่ยงสำหรับการดำเนินงานของบริษัทฯ ทั่วทั้งองค์กร ครอบคลุมถึงอันตรายในการปฏิบัติงาน เช่น อัคคีภัยและอุทกภัย ความท้าทายด้านความต่อเนื่องทางธุรกิจ การรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด และความคุ้มครองด้านการประกันภัย
กิจกรรมในห่วงโซ่อุปทานต้นน้ำ
ความเสี่ยงจากกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทานต้นน้ำ ประกอบด้วยการพึ่งพา supplier ที่มีจำนวนจำกัด การได้รับสินค้าหรือบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน ปัญหาด้านราคาและความพร้อมในการจัดหา รวมถึงความล่าช้าในการส่งมอบ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว ได้แก่ การคัดเลือกและประเมิน supplier การกำหนดมาตรฐานคุณภาพและจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ การจัดทำฐานข้อมูลคู่ค้า การกระจายฐาน supplier และการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับผู้รับเหมาและ supplier
กิจกรรมปลายน้ำและลูกค้า
สำหรับกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทานปลายน้ำ บริษัทฯ พิจารณาความเสี่ยงที่เกิดจากพฤติกรรมผู้บริโภคและความคาดหวังของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งส่งผลต่ออุปสงค์ การเข้าพัก และการออกแบบการให้บริการ พร้อมทั้งติดตามความพึงพอใจของลูกค้าและความคิดเห็นของลูกค้าในช่องทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงปรับรูปแบบการให้บริการ เช่น แพ็กเกจการเข้าพักที่ยืดหยุ่น การบริการที่เหมาะสำหรับครอบครัว และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักธุรกิจ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
บริษัทฯ วางแผนและประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศภายในองค์กร ตามช่วงระยะเวลา ดังนี้:
ระยะสั้น
ความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและผลการดำเนินงานในทันที
ระยะกลาง
ความเสี่ยงที่อาจมีอิทธิพลต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจและการตัดสินใจด้านการลงทุน
ระยะยาว
ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่ออุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวและผลการดำเนินงานทางการเงิน

การวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศ
กลยุทธ์
ความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศถือเป็นองค์ประกอบในการวางแผนกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทฯ เราตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภาคการบริการและการท่องเที่ยว จึงบูรณาการการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับกรอบการบริหารความเสี่ยงขององค์กร เพื่อรับทราบถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขในอนาคตที่แตกต่างกัน โดยอ้างอิงจากแนวปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เช่น กรอบการบริหารความเสี่ยงของ COSO และการเปิดเผยข้อมูลตามข้อเสนอแนะของ TCFD ซึ่งประกอบด้วยแนวทางที่เป็นประโยชน์สำหรับการประเมินความเสี่ยงช่วงเปลี่ยนผ่านและความเสี่ยงเชิงกายภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
บริษัทฯ ได้วางแผนวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ซึ่งครอบคลุมทั้งระยะสั้น (0–3 ปี) ระยะกลาง (4–10 ปี) และระยะยาว (มากกว่า 10 ปี) เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสินทรัพย์ การดำเนินงาน รวมถึงห่วงโซ่คุณค่าของบริษัทฯ โดยเลือกวิเคราะห์สถานการณ์ความเสี่ยงทางกายภาพด้วยแบบจำลอง RCP/SSP 2.6 (ซึ่งสอดคล้องกับเส้นทางอุณหภูมิไม่เกิน 2°C) รวมถึง RCP/SSP 4.5 และ 8.5 (ซึ่งเป็นเส้นทางอุณหภูมิที่สูงกว่า 2°C) เพื่อประเมินความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากสภาพอากาศสุดขั้ว น้ำท่วม การขาดแคลนน้ำ และภาวะความร้อนจัด สำหรับโรงแรมในกลุ่มบริษัทฯ นอกจากนี้ ยังวิเคราะห์สถานการณ์ความเสี่ยงช่วงเปลี่ยนผ่านตามแนวทาง IEA Net Zero Emissions ภายในปี 2593 และ IEA Sustainable Development Scenario (ซึ่งจำกัดอุณหภูมิไม่เกิน 2°C) และเส้นทางสภาพภูมิอากาศของ NGFS เพื่อประเมินความเสี่ยงจากการพัฒนานโยบาย ธุรกิจ และกฎระเบียบ ที่อาจส่งผลต่อการใช้พลังงาน การกำหนดราคาคาร์บอน และความต้องการของผู้บริโภค
บริษัทฯ ใช้ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการวิเคราะห์สถานการณ์ข้างต้น เป็นแนวทางในการตอบสนองความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ รวมถึงการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาการให้บริการด้านการโรงแรมอย่างยั่งยืนให้สอดคล้องกับความคาดหวังของผู้เข้าพัก ซึ่งการผสานการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับกลยุทธ์ขององค์กรทำให้เราสามารถยืนหยัด ปรับตัว และพร้อมที่จะสร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย ภายใต้สังคมคาร์บอนต่ำและความสามารถที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต
ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศทางกายภาพ
ในฐานะผู้ให้บริการด้านการโรงแรมที่ดำเนินธุรกิจในหลากหลายพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเขตเมือง พื้นที่ชายฝั่ง และพื้นที่ในภูมิภาคต่าง ๆ บริษัทฯ เผชิญความเสี่ยงทางกายภาพที่อาจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหลายรูปแบบ อาทิ น้ำท่วมและฝนตกหนักในกรุงเทพมหานคร คลื่นพายุซัดฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ท่องเที่ยวชายทะเล ตลอดจนภาวะแห้งแล้งและการขาดแคลนน้ำในบางจังหวัด นอกจากนี้ อุณหภูมิที่สูงขึ้นและคลื่นความร้อนสูงเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อความสะดวกสบายของผู้เข้าพัก ความปลอดภัยของพนักงาน และประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัท ฯ
การประเมินความเสี่ยงทางกายภาพและมาตรการควบคุมของบริษัทฯ
การวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศของบริษัทฯ อ้างอิงจากแนวทาง IPCC AR6 ดังนี้
- RCP 2.6 / SSP1-2.6: คาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2°C ภายในปี 2643 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ Paris Agreement ที่ควบคุมอุณหภูมิให้เพิ่มขึ้นน้อยกว่า 2°C
- RCP 4.5 / SSP2-4.5: คาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้น 2.5–3.0°C ภายในปี 2643 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของ Paris Agreement
- RCP 8.5 / SSP3-8.5: คาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้น 4.0°C หรือสูงกว่า ภายในปี 2643 ซึ่งสูงกว่า 2°C อย่างมีนัยสำคัญ และสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานปกติ (business-as-usual)
| สถานการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ | กรอบกระยะเวลา | ระดับความเป็นไปได้ | ระดับผลกระทบ | ระดับความเสี่ยง | คำอธิบาย | ผลกระทบทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้น | มาตรการปรับตัว |
|---|---|---|---|---|---|---|---|
| น้ำท่วม | ระยะสั้น (0-3 ปี) | ปานกลาง | ปานกลาง | ปานกลาง | ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันในกรุงเทพฯ และจังหวัดที่มีความเสี่ยงน้ำท่วม อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของโรงแรม สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงแขกที่เข้าพักและพนักงานไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่โรงแรมได้ โดยน้ำท่วมตามฤดูกาลอันเนื่องมาจากปัญหาแม่น้ำลำคลองและระบบการระบายน้ำ ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ต่อทรัพย์สินของโรงแรมในหลายพื้นที่ |
|
|
| อุณหภูมิที่สูงขึ้น/ความร้อนจัด (Heat Stress) | ระยะกลาง (4-10 ปี) | สูง | สูง | สูง | อุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงขึ้นทำให้ความต้องการใช้ระบบทำความเย็นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสูงขึ้น อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความสะดวกสบายของแขก และความปลอดภัยของพนักงาน |
|
|
| การขาดแคลนน้ำ/ภัยแล้ง | ระยะยาว (มากกว่า 10 ปี) | ปานกลาง | สูง | สูง | โรงแรมในต่างจังหวัดเผชิญความเสี่ยงจากภัยแล้งตามฤดูกาลและการขาดแคลนน้ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและค่าใช้จ่าย |
|
|
| คลื่นพายุซัดฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่ง | ระยะกลาง (4-10 ปี) | ต่ำ | ปานกลาง | ปานกลาง | โรงแรมที่ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่ง เช่น ภูเก็ต หัวหิน และพัทยา เผชิญความเสี่ยงจากคลื่นพายุซัดฝั่ง พายุเขตร้อน และการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานและทำให้การดำเนินงานหยุดชะงัก |
|
|
หมายเหตุ: การประเมินความเสี่ยงข้างต้นครอบคลุมเฉพาะการดำเนินงานทั้งหมดในประเทศไทยเท่านั้น
การบริหารจัดการขยะและของเสีย
เป้าหมาย
- บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการลดปริมาณขยะฝังกลบลง
โอกาสและความเสี่ยงทางธุรกิจ
โอกาส
- โอกาสทางธุรกิจในการแสวงหาวัสดุและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างจุดเด่น เพื่อนำเสนอประสบการณ์แปลกใหม่ สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้า ผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของโรงแรม
ความเสี่ยงและความท้าทาย
- ขยะเศษอาหารเป็นประเด็นความยั่งยืนที่มีนัยสำคัญสำหรับธุรกิจโรงแรม ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติ และกระทบต่อประเด็นความหิวโหยที่เกิดขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องบริหารจัดการอย่างสมดุลเพื่อให้บริการลูกค้าด้วยประมาณและคุณภาพให้เกิดความพึงพอใจของลูกค้า ในขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงอาหารเหลือทิ้งที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการ (food loss) และการบริโภค (food waste) อีกด้วย
แนวการบริหารจัดการ
- จำแนกประเภทขยะที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะขยะเศษอาหาร และเพิ่มสัดส่วนการแยกขยะ
- สนับสนุนการใช้วัสดุรีไซเคิล หรือสามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ใช้หลัก 4R: Reduce, Reuse, Recycle และ Resourcing
- ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อร่วมกันสร้างเส้นทางของขยะให้หมุนเวียนและเกิดประโยชน์สูงสุด
ผลการดำเนินงาน
- 5 พันธมิตรด้านการจัดการขยะ
- ขยะเศษอาหารลดลง 29.30% จากโครงการ Zero Food Waste
- พลาสติก 457.10 kg. ถูกนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง
การจัดการอาหารเหลือจากการบริโภคและขยะอาหาร
บริษัทฯ ยังรณรงค์ให้ริเริ่มโครงการ Zero Food Waste ในหลายโรงแรมอาทิ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพ ที่เริ่มจากการรณรงคให้พนักงานรับประทานอาหารของตนที่ให้บริการในห้องอาหารพนักงานให้หมด ไม่เหลือทิ้ง โดยได้เริ่มโครงการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพ สามารถลดปริมาณขยะเศษอาหารในห้องอาหารพนักงานได้ถึงร้อยละ 29.30 ภายในเดือนแรก หรือลดลงเฉลี่ยร้อยละ 12.44 ต่อเดือน
พันธมิตรในการลดขยะเศษอาหาร

มูลนิธิ Scholars of Sustenance (SOS) – องค์กรสาธารณกุศลที่ส่งต่ออาหารเหลือจากบุฟเฟต์แก่มูลนิธิและผู้ยากไร้
โรงแรมที่เข้าร่วมเครือข่าย
- โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพ
- โรงแรม เจดับบลิว แมริออท กรุงเทพ
- โรงแรมคอร์ทยาร์ด โดย แมริออท กรุงเทพ
- กลุ่มโรงแรมแอคคอร์ (มีแผนการเข้าร่วมโครงการนี้ในปี 2569)

“Yindii” – แพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์บนมือถือที่ส่งต่อเบเกอรี่จากจากบุฟเฟต์ของโรงแรมไปจำหน่ายในราคาพิเศษ เพื่อลดปริมาณอาหารที่ต้องทิ้ง
โรงแรมที่เข้าร่วมเครือข่าย
- โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพ
- โรงแรม เจดับบลิว แมริออท กรุงเทพ

The PLEDGE on Food Waste - โครงการลดขยะจากเศษอาหารของหน่วยงาน
โรงแรมที่เข้าร่วมเครือข่าย
- โรงแรมคอร์ทยาร์ด โดย แมริออท กรุงเทพ ได้รับรางวัล All-Star
การจัดการขยะพลาสติก
ดิ เอราวัณ กรุ๊ป และโรงแรมในเครือมีนโยบายงดใช้พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use plastic) เพื่อลดปริมาณพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ รวมทั้งและคัดเลือกผลิตภัณฑ์ทดแทน โดยคำนึงถึงความพึงพอใจและความปลอดภัยของลูกค้า เพื่อลดการสร้างขยะพลาสติกจากต้นทาง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จับมือกับพันธมิตรอย่าง บริษัท เอสซีจี เคมิคัล จำกัด (SCGC) และ Corsair International ประเทศไทย คัดแยกขยะพลาสติกเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง โดยมีพลาสติกที่สามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้ 457.10 กิโลกรัม
การจัดการขยะกระดาษ
สำนักงานใหญ่และโรงแรมในเครือ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ในพื้นที่กรุงเทพฯ ร่วมกับพันธมิตร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP รวบรวมกระดาษเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเพื่อการใช้ประโยชน์สูงสุดของกระดาษเหลือใช้ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนเส้นทางและรอบการจัดเก็บให้มีประสิทธิภาพเพื่อลดการใช้พลังงานในการขนส่งอีกด้วย
รายงานผลการประหยัดทรัพยากรสิ่งแวดล้อม
ยอดกระดาษสะสมจาก 6 Locations ดังนี้
- ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพ)
- ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (โรงแรมเมอร์เคียว แบงค็อก สุขุมวิท 24)
- ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท กรุงเทพ)
- ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (โรงแรมไอบิส กรุงเทพ ริเวอร์ไซด์)
- ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (โรงแรมคอร์ทยาร์ด กรุงเทพ)
- ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (อาคารเพลินจิต)
รีไซเคิลกระดาษไปแล้ว (กิโลกรัม)
ปี 2566
ปี 2567
การจัดการเพื่อลดปริมาณขยะฝังกลบ
บริษัทฯ ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคัดแยกขยะให้ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อมุ่งลดปริมาณขยะฝังกลบ โดยในเบื้องต้นได้เริ่มเก็บสถิติขยะฝังกลบของโรงแรมและสำนักงานใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯ
สัดส่วนขยะแต่ละประเภทปี 2566
การจัดการด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะดำเนินการกิจกรรมด้านความหลากหลายทางชีวภาพดังนี้
การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนนั้น ต้องคำนึงถึงการดูแลรักษาทรัพยากร และการใช้ประโยชน์อย่างสมดุล การสร้างความเข้าใจในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม และช่วยกันดูแลจะเป็นหลักการที่สำคัญในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
ปี 2565
ปี 2565 บริษัทฯ มีการสนับสนุนปลูกต้นไม้ร่วมกับโรงแรมในเครือเพื่อช่วยการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยบริษัทฯ และโรงแรมในเครือ ร่วมกันปลูกต้นไม้ในสวนจตุจักร สวนป่าเบญจกิติ และบริเวณอ่างเก็บน้ำมาบประชัน ชลบุรี รวม 400 ต้น
โรงแรมเดอะ นาคาฯ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะนาคา ปลูกป่าชายเลน 2,500 ต้น ร่วมกับ อบต.ป่าคลอก และเข้าร่วมโครงการ Go Green เก็บขยะชายหาด และบริเวณพื้นที่หมู่บ้าน รวมเป็นปริมาณขยะ จำนวน 156.54 กิโลกรัม
ปี 2566
ในปี 2566 บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ปลูกต้นไม้จำนวน 500 ต้น ณ สวนสาธารณะใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT คลองเตย เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก (5 มิถุนายน 2566) โดยกิจกรรมนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือกับสำนักงานเขตคลองเตย อาสาสมัครในพื้นที่ และโรงแรมในเครือฯ ทั้งนี้ มีพนักงานเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนทั้งสิ้น 86 คน
นอกจากนี้ เรายังได้ปลูกต้นโกงกางจำนวน 15,000 ต้น บนพื้นที่ 20 ไร่ ณ ป่าชายเลนของชุมชนบริเวณอ่าวทองคำ หมู่บ้านแหลม ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
ปี 2567
ในปี 2567 บริษัทฯ จัดกิจกรรม “ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ร่วมใจปลูกต้นไม้” ณ สวน 50 สุข เขตคลองเตย กรุงเทพฯ เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยร่วมมือกับสำนักงานเขตคลองเตย อาสาสมัครในพื้นที่ และพนักงานในเครือ รวม 92 คน ร่วมปลูกต้นไม้ 200 ต้น ปรับปรุงภูมิทัศน์ และเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับสวนสาธารณะเพื่อประโยชน์ของชุมชนกิจกรรมนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยบริษัทฯ ได้สนับสนุนการปลูกต้นไม้แล้วกว่า 1,000 ต้น และดำเนินความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืนในสังคมไทย
ความมุ่งมั่นของเราในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
บริษัทฯ ตระหนักว่าความหลากหลายทางชีวภาพเป็นรากฐานสำคัญต่อความยืดหยุ่นของระบบนิเวศ และความยั่งยืนของธุรกิจการให้บริการด้านโรงแรม เรามุ่งมั่นที่จะบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งในด้านการพึ่งพา (dependency) และผลกระทบ (impact) ให้ครอบคลุมการดำเนินงานและพื้นที่โดยรอบ รวมถึงสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (UNSDGs) โดยบูรณาการเข้ากับกรอบการบริหารความเสี่ยงระดับองค์กรของบริษัทฯ
การประเมินความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
ในปี 2567 เราได้ประเมินความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพอย่างครอบคลุม ทั้งในส่วนของการดำเนินงานของบริษัทฯ และพื้นที่โดยรอบ ด้วยวิธี location-specific approach โดยโรงแรมทั้ง 78 แห่งที่ดำเนินงานในประเทศไทยได้รับการประเมินผ่านเครื่องมือ WWF Biodiversity Risk Filter (https://riskfilter.org) ซึ่งเป็นเครื่องมือคัดกรองความเสี่ยงในระดับองค์กรและระดับ portfolio ที่ออกแบบมาเพื่อระบุความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพและจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินงานของบริษัทฯ นอกจากนี้ เครื่องมือ WWF Risk Filter ยังสอดคล้องกับแนวคิดและกรอบการรายงานระดับโลกชั้นนำ ได้แก่ Taskforce on Nature-related Financial Disclosures (TNFD) Taskforce on Climate-related Financial Disclosures (TCFD), Science Based Targets for Nature (SBTN) Carbon Disclosure Project (CDP) และ Global Reporting Initiative (GRI)
เราบูรณาการความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับกระบวนการบริหารความเสี่ยงในระดับองค์กร ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการพึ่งพา (เช่น การพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ) และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบ (เช่น แรงกดดันที่อาจเกิดขึ้นต่อความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ) ได้รับการพิจารณาอย่างเป็นระบบ
อ้างอิงจากผลการประเมิน พบว่า แม่น้ำเจ้าพระยาและอ่าวไทยเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ต่อการกำกับดูแลความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านกายภาพและด้านชื่อเสียงมากที่สุด ทั้งนี้ จากจำนวนโรงแรมที่ได้รับการประเมินทั้งหมด 78 แห่งในประเทศไทย พบว่า โรงแรมจำนวน 71 แห่ง ตั้งอยู่ใกล้พื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่มีความสำคัญ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับความหลากหลายทางชีวภาพในระดับที่มีนัยสำคัญ โดยโรงแรมทั้งหมดที่ได้รับการประเมินมีการบูรณาการประเด็นด้านการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับกรอบการบริหารความเสี่ยงระดับองค์กร ซึ่งความเสี่ยงที่ได้รับการประเมินครอบคลุมในหลายหมวดหมู่ อาทิ ความเสี่ยงจากการบริการ การควบคุมระบบนิเวศ การบริการเชิงวัฒนธรรม แรงกดดันด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม และปัจจัยทางสังคมเศรษฐกิจ ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินงานด้านการจัดการ และยกระดับโครงการด้านความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่มีการพึ่งพาระบบนิเวศและมีความคาดหวังจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสูง




มาตรการบรรเทาความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
บริษัทฯ ใช้วิธีการลำดับขั้นตอนการดำเนินงาน (hierarchy of actions) ในการจัดการความเสี่ยงและการพึ่งพาที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ ดังนี้
- หลีกเลี่ยง: คัดเลือกสถานที่และวางแผนการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่มีความสำคัญให้น้อยที่สุด
- ลด: ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดแรงกดดันต่อระบบนิเวศ รวมถึงการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน การอนุรักษ์พลังงาน และการลดขยะและของเสีย
- ฟื้นฟูและฟื้นคืน: บริษัทฯ ดำเนินโครงการปลูกต้นไม้ประจำปี โดยร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน โดยในปี 2567 เราได้จัดกิจกรรมสนับสนุนปลูกต้นไม้จำนวน 200 ต้น ณ บริเวณสวน 50 สุข จังหวัดกรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มการดูดซับคาร์บอน และพัฒนาพื้นที่นันทนาการสำหรับชุมชน
- เปลี่ยนแปลง: ผ่านโครงการสร้างความตระหนักรู้ การมีส่วนร่วมของพนักงาน และความร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นและชุมชน เราส่งเสริมการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างกว้างขวาง โดยจัดลำดับการดำเนินงานให้สอดคล้องกับความสำคัญด้านความยั่งยืนในระดับชาติและระดับโลก