บริษัทฯ มุ่งพัฒนาและขยายการดำเนินธุรกิจโรงแรมให้แข็งแกร่ง เพื่อรองรับความเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ทั้งในรูปแบบของการสร้างเครือข่ายโรงแรมที่ครอบคลุม การให้บริการโรงแรมหลากหลายระดับ และการเป็นผู้ให้บริการคุณภาพที่สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าบนทำเลที่มีศักยภาพของประเทศ ดำเนินธุรกิจด้วยการกำกับดูแลกิจการที่ดี คำนึงถึงการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน
ความมุ่งมั่นต่อการบริการที่เป็นเลิศ
นอกจากการให้บริการโรงแรมด้วยมาตรฐานแบรนด์ระดับโลก หรือ Global Brand Standard แล้ว ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ยังสนับสนุนให้โรงแรมในเครือปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือมาตรฐานอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของโรงแรม เพื่อยกระดับการให้บริการ อาทิ มาตรฐานขององค์กรระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน หรือ ISO มาตรฐานด้านสาธารณสุข มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับอาหาร Food Safety หรือ HACCP โดยสามารถศึกษารายละเอียดมาตรฐานต่างๆ ที่แต่ละโรงแรมของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ได้รับตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ที่ https://www.theerawan.com/th/our-pride
ทั้งนี้ โรงแรมทุกแห่งมีแบบแผนและมาตรฐานการให้บริการตามระดับของแบรนด์นั้นๆ โดยแบบแผนและมาตรฐานดังกล่าวจะถูกกำหนดโดยบริษัทเจ้าของแบรนด์ที่บริษัทฯ มีสัญญาว่าจ้างหรือสัญญาแฟรนไชส์ด้วย ซึ่งบริษัทเจ้าของแบรนด์ดังกล่าวมีกำหนดการตรวจสอบคุณภาพการให้บริการของโรงแรมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง อย่างไรก็ตามในส่วนของโรงแรมในกลุ่ม ฮ็อป อินน์ ซึ่งบริษัทฯ เป็นเจ้าของและบริหารด้วยตนเองนั้น บริษัทฯ จะเป็นผู้กำหนดแบบแผนการให้บริการ โดยมีการจัดทำการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ รวมทั้งมีการตรวจสอบการให้บริการของโรงแรมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเช่นกัน
มาตรฐานความยั่งยืนสำหรับธุรกิจโรงแรม
บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานความยั่งยืนทั้งในประเทศและระดับสากล โดยในปี 2565 โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพ ได้รับการรับรองโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) ระดับทอง ในขณะที่ในปี 2566 โรงแรมคอร์ทยาร์ด โดย แมริออท กรุงเทพ และโรงแรมฮ็อป อินน์ แจ้งวัฒนะ ระดับทองและระดับเงินตามลำดับ และยังมีอีก 4 โรงแรมที่ได้รับการรับรอง Sustainable Tourism Goals (STGs) ระดับ 5 ดาวโครงการ STAR: Sustainable Tourism Acceleration Rating ประเมินโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้แก่ โรงแรมเดอะ นาคา ไอแลนด์, เอ ลักซ์ชัวรี่ คอลเลคชั่น รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต, โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ พัทยา, โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพ และโรงแรมคอร์ทยาร์ด โดย แมริออท กรุงเทพ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะผลักดันให้ทุกโรงแรมในเครือได้รับการรับรองดังกล่าวภายในปี 2567
นอกจากนี้ โรงแรมภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอกภายใต้สัญญาแฟรนไชส์ กลุ่มแอคคอร์ (ACCOR) ยังมีเป้าหมายในการได้รับการรับรอง Green Key Standard ซึ่งเป็นมาตรฐานชั้นนำว่าด้วยความเป็นเลิศด้านสิ่งแวดล้อมและการดำเนินงานอย่างยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและผู้ให้บริการธุรกิจโรงแรม
การบริหารจัดการคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน
คู้ค้าเป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่งของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป บริษัทฯ จึงได้ให้ความสำคัญและรับฟังเสียงสะท้อนจากคู่ค้ามาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการปฏิบัติดำเนินงานอย่างเป็นธรรม การสร้างการเรียนรู้ การพัฒนาคุณภาพงาน และพัฒนาศักยภาพในการทำงานร่วมกัน โดยบริษัทฯ ได้กำหนดหลักเกณฑ์การจำแนกกลุ่มคู่ค้าที่สำคัญ เพื่อการประเมินความเสี่ยงภายในห่วงโซ่ธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ จัดทำเกณฑ์ในการคัดกรองและสรรหาคู่ค้า นโยบายในการจ่ายเงิน รวมทั้งได้กำหนดจรรยาบรรคู่ค้าธุรกิจ (Supplier Code of Conduct) เพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืนร่วมกัน ไว้ดังนี้
หลักเกณฑ์การกำหนดกลุ่มคู่ค้าที่สำคัญ (Critical-tier Suppliers)
ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ได้กำหนดเกณฑ์ในการจัดลำดับความสำคัญของคู่ค้าเพื่อประเมินความเสี่ยงและการบริหารจัดการห่วงโซ่ธุรกิจอย่างประสิทธิภาพไว้ 2 ประเภท ได้แก่
1. จำแนกตามมูลค่า
บริษัทฯ กำหนดให้คู่ค้า/ ผู้รับเหมาที่มีการทำรายการซื้อขายมากกว่าร้อยละ 3 ของค่าใช้จ่ายที่จ่ายคู่ค้าทั้งหมด เป็นคู่ค้าที่สำคัญทั้งหมดของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (Critical 1-tier)
2. จำแนกตามประเภทการใช้บริการ
บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจโดยจำแนกลักษณะการดำเนินงานเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนสำนักงานใหญ่ ส่วนการพัฒนาโครงการ และคู่ค้าของธุรกิจโรงแรม ซึ่งการดำเนินงานใน 3 ส่วนนี้มีความสำคัญแตกต่างกัน เนื่องจากมีกลุ่มคู่ค้าต่างประเภท และมูลค่าสัญญาแตกต่างกันค่อนข้างสูง บริษัทฯ จึงได้กำหนดประเภทคู่ค้าจำแนกตามประเภทการใช้บริการไว้ ดังนี้
2.1. กลุ่มคู่ค้าในโครงการที่กำลังพัฒนา (Project Development Suppliers)
2.2. กลุ่มคู่ค้าของธุรกิจโรงแรม (Hospitality Suppliers)
2.3. กลุ่มคู่ค้าในกระบวนการดำเนินงานทั่วไป (Operation & Assessment Suppliers)
ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทฯ มีคู่ค้าทั้งหมด 3,367 ราย โดยมีคู่ค้าหลัก (Critical 1-tier) จำนวน 45 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.11 ของคู่ค้าทั้งหมด) โดยรายละเอียดอื่นๆ เป็นดังนี้
การจัดกลุ่มคู่ค้าของบริษัทในเครือ ปี 2565 | ธุรกิจโรงแรม | โครงการ | สำนักงาน | รวม |
---|---|---|---|---|
จำนวนคู่ค้าทั้งหมด (ราย) | 3,367 | 172 | 509 | 4,048 |
จำนวนคู่ค้าหลัก Critical 1-tier (ราย) | 27 | 12 | 6 | 45 |
จำนวนคู่ค้าทั่วไป (ราย) | 3,340 | 160 | 503 | 3,975 |
จำนวนคู่ค้าที่ลงนามรับทราบจรรยาบรรณและแนวทางปฏิบัติของคู่ค้า | n/a | n/a | n/a | n/a |
การสรรหาคู่ค้าและเกณฑ์ในการคัดเลือกคู่ค้า (Supplier’s Pre-qualification and Selection Criteria)
เพื่อให้การดำเนินงานของบริษัทฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงภายในห่วงโซ่ธุรกิจ บริษัทฯ ได้กำหนดเกณฑ์ในการคัดกรองคู่ค้า (ERW’s Pre-qualification Checklist) โดยมีหัวข้อการประเมิน ดังต่อไปนี้
- คุณภาพของสินค้า/บริการ (Quality of Product/ Service)
- ความสามารถในการผลิต (Ability to Produce)
- การตรวจสอบผลิตภัณฑ์และที่มาผลิตภัณฑ์ (Product Quality Audit and Traceability)
- คุณภาพด้านการส่งมอบสินค้า (Quality of Delivery)
- คุณภาพการให้บริการหลังการขาย (After Sale Service)
- ความสามารถในการแข่งขันด้านเงื่อนไขทางการค้า (Competitive Ability in Terms of Trade Conditions)
- มีประวัติทางการเงินที่เชื่อถือได้ (Reliable Financial)
- ชื่อเสียงของบริษัท (Company's Reputation)
- การดำเนินงานด้านความยั่งยืนตามกรอบ ESG
การประเมินความเสี่ยงของคู่ค้า
บริษัทฯ ได้วิเคราะห์จัดลำดับความสำคัญของคู่ค้า โดยพิจารณาจากคู่ค้าที่มีปริมาณการจัดซื้อสินค้าหรือบริการมูลค่าสูงและประเภทการใช้บริการ มาเป็นเกณฑ์ในการจัดลำดับความสำคัญของคู่ค้า
ทั้งนี้ ในกระบวนการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในห่วงโซ่ธุรกิจ บริษัทฯ ได้คำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้
- ปัจจัยความเสี่ยงในการจัดหาวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ – เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขาดแคลน เป็นผลิตภัณฑ์/บริการที่มีผู้ให้บริการรายเดียว หรือเป็นผลิตภัณฑ์/บริการที่ไม่สามารถทดแทนหรือไม่
- ปัจจัยความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ – เป็นสินค้า วัสดุ และบริการที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจหรือไม่
- ปัจจัยความเสี่ยงด้านสังคม – เป็นคู่ค้าที่มีการดำเนินงานอย่างรับผิดชอบ ให้ความสำคัญต่ออาชีวอนามัยและความปลอดภัยของผู้รับเหมาหรือไม่ รวมถึงเป็นคู่ค้าที่มีการจ้างงานอย่างเป็นธรรม ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน
- ปัจจัยความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม – เป็นคู่ค้าที่มีมาตรฐานการดำเนินงานหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ เช่น มีประสบการณ์การทำงานด้าน Green Hotel มาตรฐานอาคารเขียว ISO 14001 ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม หรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เป็น eco-products เป็นต้น
- ปัจจัยความเสี่ยงด้านชื่อเสียง – เป็นคู่ค้าที่มีประวัติการดำเนินงานหรือลักษณะการทำงานที่อาจส่งผลเสียงต่อชื่อเสียงของบริษัทฯ ในอนาคตหรือไม่
หลักเกณฑ์ในการตรวจประเมินคู่ค่าแบบ ONSITE
หลักเกณฑ์คู่ค้าที่ต้องได้รับการ On-site ESG Audit ในรอบปี
บริษัทฯ กำหนดหลักเกณฑ์คู่ค้าที่ต้องได้รับการ Onsite ESG Audit สำหรับ สำหรับคู่ค้าส่วนการพัฒนาโครงการ และคู่ค้าของธุรกิจโรงแรม ด้วยหลักเกณฑ์ที่ต่างกัน ดังนี้
- คู่ค้าส่วนการพัฒนาโครงการ
บริษัทฯ ได้กำหนดเงื่อนไข Top-5 Critical Tier 1 Supplier หรือคู่ค้าที่มีรายการใช้จ่ายกับบริษัทฯ สูงสุด 5 อันดับแรก เป็นบริษัทที่จะต้องได้รับการ On-site ESG Audit เป็นประจำทุกปี เนื่องจากมีนัยสำคัญต่อบริษัทฯ ในแง่ของต้นทุนการดำเนินงาน - คู่ค้าของธุรกิจโรงแรม
ด้วยธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจให้บริการ และมีประเด็นสุขอนามัยและความปลอดภัยด้านอาหารเป็นประเด็นที่สำคัญของธุรกิจในระยะดำเนินงาน และยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก ดังนั้น โรงแรมระดับลักชูรี ในธุรกิจของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป อาทิ โรงแรมเดอะ นาคา ไอส์แลนด์ เอ ลักซ์ชัวรี่ คอลเลคชั่น รีสอร์ท แอนด์ สปา จึงกำหนดให้มีการประเมินคู่ค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มในรูปแบบ On-site ESG Audit ทั้งหมด (ร้อยละ 100)
นโยบายและระยะเวลาการชำระเงิน (Credit Term)
บริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อสภาพคล่องและการบริหารจัดการกระแสเงินสดของคู่ค้า โดยให้ความสำคัญต่อคู่ค้าทั้งรายย่อยและรายใหญ่อย่างเท่าเทียมกันและไม่เลือกปฏิบัติ และพึงระลึกเสมอว่าสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจของคู่ค้านั้น กระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของคู่ค้าและบริษัทฯ ในระยะยาว
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายเพื่อกำหนดระยะเวลาชำระเงิน (Credit Term) ให้แก่คู่ค้าภายใน 7-60 วัน โดยที่ผ่านมามีประวัติการชำระเงินให้แก่คู่ค้า ตามสถิติดังนี้
รายการ | 2562 | 2563 | 2564 | 2565 | 2566 |
---|---|---|---|---|---|
ระยะเวลาการชำระเงิน (ค่าเฉลี่ย 1 ปี) | 39 วัน | 29 วัน | 31 วัน | 31 วัน | 27 วัน |
จรรยาบรรณคู่ค้า
ในกลุ่มโรงแรมที่บริหารโดยแบรนด์ต่างๆ นั้น มีแนวทางปฏิบัติต่อคู่ค้าตามจรรยาบรรณคู่ค้าที่คำนึงถึงมิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่แบรนด์ต้นสังกัดได้กำหนดไว้ สำหรับโรงแรม ฮ็อป อินน์ ปฏิบัติตามแนวทางของบริษัทฯ ที่กำหนดไว้ https://www.theerawan.com/th/corporate-governance/code-of-conduct
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญต่อการร่วมต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชันภายในห่วงโซ่ธุรกิจ โดย ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกที่ได้รับการรับรองจากแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (Thai Private Sector Collective Action Against Corruption : CAC) ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายเชิญชวนและสนับสนุนให้คู่ค้าทุกรายของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป เข้าร่วมเป็นสมาชิกฯ CAC หรือภาคีเครือข่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชันเช่นกัน เพื่อร่วมสร้างสังคมที่โปร่งใส ปราศจากการทุจริตและคอร์รัปชัน
เสียงสะท้อนจากคู่ค้า
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ร่วมพัฒนาศักยภาพคู่ค้าและผู้รับเหมาไม่เพียงแต่เพื่องานก่อสร้างที่มีคุณภาพ แต่บริษัทฯ มีเจตนารมณ์ที่จะสร้างให้ผู้รับเหมาสามารถยืนหยัดให้ได้ด้วยตัวเองในระยะยาว เป็นผู้รับเหมาที่มีคุณภาพ สามารถต่อยอดในการทำงานร่วมกับบริษัทฯ อื่นๆ ได้ โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้สำรวจความคิดเห็นของคู่ค้าและได้รับเสียงตอบรับอันเป็นประโยชน์ต่อคู่ค้าและดิ เอราวัณ กรุ๊ป ในการทำงานร่วมกันในอนาคตต่อไป
บริษัทฯ ถือว่าลูกค้าทุกคนมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าทุกกลุ่มและดูแลลูกค้าทุกรายตั้งแต่ก่อนเข้าใช้บริการ ขณะเข้าใช้บริการ ไปจนถึงภายหลังการเข้าใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใช้ห้องพัก ห้องอาหาร หรือบริการอื่นๆของบริษัท โดยในทุกขั้นตอนจะมีการประเมินความพึงพอใจของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความประทับใจอย่างสูงสุด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาการบริการอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้าเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อการพัฒนาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง โดยการพัฒนาการบริการดังกล่าวจะมีการอัพเดทอยู่สม่ำเสมอเพื่อให้เข้าพฤติกรรมของลูกค้าที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ใหม่ๆ หรือตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การยกระดับมาตรฐานความสะอาดและสุขอนามัยให้เท่าเทียมกันในโรงแรมทุกระดับชั้น การปรับปรุงระบบจองห้องพักผ่านเว็บไซต์ของโรงแรมให้มีความสะดวกสบายมากขึ้นและง่ายต่อการใช้งานของลูกค้า
แผนการพัฒนาความพึงพอใจของลูกค้า
ผลความพึงพอใจของลูกค้า
สำหรับการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า โรงแรมทุกแห่งของบริษัทฯ จะจัดทำประเมินความพึงพอใจของลูกค้าที่เข้ามาพักและใช้บริการในโรงแรมอยู่สม่ำเสมอ และโรงแรมทุกแห่งจะมีการนำส่งสรุปรายงานผลประเมินความพึงพอใจต่อผู้บริหารระดับสูง ณ สิ้นเดือน เพื่อนำเสนอและวิเคราะห์โอกาสและปัญหาเพื่อพัฒนาความต้องการของลูกค้าต่อไป โดยการกำหนดเป้าหมายคะแนนความพึงพอใจของลูกค้าของโรงแรมทุกแห่งจะใช้คะแนนของปีก่อนหน้าเป็นเกณฑ์ในการวัดระดับและเป็นเป้าหมายในการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น บริษัทฯ จะวัดความพึงพอใจของลูกค้าจาก 2 ช่องทาง ดังนี้
- Customer Satisfaction Survey ซึ่งเป็นแบบประเมินความพึงพอใจและแบบสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าที่ครอบคลุมทั้งในเรื่องความสะอาด คุณภาพการบริการ รวมถึงสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในโรงแรม โดยแต่ละโรงแรมจะส่งแบบประเมินไปให้ลูกค้าผ่านอีเมล์ภายหลังจากการเข้าพัก
- Social Review Index ซึ่งเป็นการประเมินความพึงพอใจของลูกค้าที่ทำผ่านช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น OTAs หรือ Google Review หรือ TripAdvisor เป็นต้น และนำคะแนนดังกล่าวเทียบกับคะแนนของคู่แข่งในตลาด โดยผลการประเมินของปี 2566 และปีย้อนหลังเป็นดังนี้
2563 | 2564 | 2565 | 2566 | |
---|---|---|---|---|
ผลคะแนนความพึงพอใจของลูกค้าโดยเฉลี่ยของโรงแรมในเครือ | 79% | 80% | 79% | 81% |
วิสัยทัศน์ด้านนวัตกรรมขององค์กร
วิสัยทัศน์ด้านนวัตกรรมขององค์กรถูกผนวกเข้าไว้ในการเป็น “วัฒนธรรมองค์กรแห่งความยั่งยืน” (Corporate Culture of Sustainability) ประกอบด้วย E = Empathy & Efficiency, P = Passion, I = Innovation & Integrity และ C = Collaboration หรือเรียกสั้นๆ ว่า EPIC
“Innovation วัฒนธรรมองค์กรแห่งความยั่งยืน สะท้อนการคิดต่างเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ท้าทายและนำไปสู่นวัตกรรม กระบวนการ และผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม”
นวัตกรรมห้องพักอัจฉริยะ Smart Guest Room Control
นวัตกรรมห้องพักอัจฉริยะ หรือ “Smart Guest Room Control” เป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำงาน (Process Innovation) ที่การต่อยอดเทคโนโลยีที่มีอยู่ โดย บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ BanpuNext ในการริเริ่มนำเทคโนโลยี 2 ตัวมาใช้ในการตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในห้อง เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า ซึ่งโดยปกติหรือที่ผ่านมาจะใช้เทคโนโลยีตรวจจับความเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียว ไฟในห้องจึงตัด เพื่อประหยัดพลังงาน ทำให้บางครั้งหากแขกผู้เข้าพักนั่งนิ่งๆ ในห้อง ไฟก็จะตัด ทำให้ลูกค้าไม่สะดวกสบายในการเข้าพัก แต่นวัตกรรมตัวนี้ ได้นำเรื่องอุณหภูมิภายในห้องพักมาใช้ประกอบ ทำให้ตรวจจับได้แม่นยำมากขึ้น และจะตัดไฟชั่วคราวในช่วงที่ลูกค้าไม่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจริงๆ โดยไม่กระทบต่อความพึงพอใจของลูกค้า
บริษัทฯ ได้ทดลองติดตั้ง “SensorFlow” กับห้องพักจำนวน 7 ห้อง มีการประเมินค่าการประหยัดพลังงาน ค่าใช้จ่ายที่ลดลง และระยะเวลาที่เซ็นเซอร์ตัวดังกล่าวทำงานไว้ ตามตารางด้านล่าง และมีแผนจะติดตั้งในบริเวณอื่นๆ เพิ่มเติมอีกภายในปี 2567
เกณฑ์การวัดผล | ผลลัพธ์ |
---|---|
ปริมาณไฟฟ้าที่ประหยัดต่อเดือน (ตามการคำนวณ) | 44,975 kWh คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 185,679 บาท |
ปริมาณไฟฟ้าที่ประหยัดต่อเดือน (ตามการใช้งานจริง) | 47,949 kWh คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 197,957 บาท |
ระยะเวลาที่เซ็นเซอร์ทำงาน (ตามการคาดการณ์) | 4.50 ชม./ ห้อง/ วัน |
ระยะเวลาที่เซ็นเซอร์ทำงาน (ตามการใช้งานจริง) | 6.29 ชม./ ห้อง/ วัน |
หมายเหตุ คำนวณจากค่าไฟเฉลี่ย 1 kWh = 4.1285 บาท
นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยอื่นๆ
โรงแรมฮ็อป อินน์ โรงแรมระดับบัดเจ็ทในเครือ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ผู้ให้บริการห้องพักราคาประหยัดคุ้มค่าสำหรับทุกการเดินทาง พัฒนากระบวนการทำงานและการบริหารต้นทุนการอย่างมีประสิทธิภาพอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยยังคงคุณภาพของการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของโรงแรม สร้างความประทับใจให้ลูกค้าทุกกลุ่ม
ดูเพิ่มเติมเป็นการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการบริหารจัดการการจองห้องพัก ด้วยระบบการจองห้องพักผ่าน Chatbot ของโรงแรม ฮ็อป อินน์ เป็นบริการที่เพิ่มช่องทางให้ลูกค้ามีความสะดวกในการจองห้องพักมากขึ้น เพื่อรองรับการขยายสาขาโรงแรมที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยมียอดจองผ่าน Chatbot เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเทียบกับปี 2564 ช่วยให้ระบบการจองห้องพักมีประสิทธิภาพ และช่วยลดภาระการทำงานของ Call Center และยังทำให้พนักงานมี Work-life Balance มากขึ้น
บริษัทฯ ส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของลูกค้าด้วยการแผนการติดตั้งและขยายจุดให้บริการชาร์ตรถไฟฟ้า หรือ EV Charging Station ให้ครอบคลุมเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าและแขกของโรงแรม โดยในปี 2566 บริษัทฯ ได้ติดตั้งเพิ่มเติมใน 4 โรงแรมฮ็อป อินน์ ประเทศไทย ได้แก่ โรงแรมฮ็อป อินน์ กาญจนบุรี, โรงแรมฮ็อป อินน์ ชลบุรี, โรงแรมฮ็อป อินน์ หัวหิน และโรงแรมฮ็อป อินน์ เชียงใหม่ โดย ณ ปัจจุบันมีโรงแรมที่มีจุดบริการ EV Charging Station ไว้อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในทั้งหมด 10 โรงแรมในเครือ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป
การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี นโยบายด้านเทคโนโลยี การป้องกันข้อมูล ความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ
บริษัทฯ และบริษัทในเครือ ได้กำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติ เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ การจัดเก็บข้อมูลต่างๆ รวมถึงมาตรการรองรับในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ดังนี้
- เตรียมความพร้อมรองรับ พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และพรบ. คอมพิวเตอร์ ทั้งในส่วนการอบรมให้ความรู้แก่พนักงาน และติดตั้งระบบซอฟต์แวร์ เพื่อปกป้องข้อมูลขององค์กร และผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง
- ศึกษาเครื่องมือและวิธีการจัดการ ติดตามผล และวิเคราะห์ระบบความมั่นคงทางไซเบอร์
- จัดทำแผนทดสอบ phishing mail เพื่อให้พนักงานตระหนักในการใช้งานอีเมล์
- ประชาสัมพันธ์ให้พนักงานรับทราบ รู้เท่าทันภัยต่างๆ ทางอีเมล์ อินทราเน็ต โซเซียลมีเดีย ถึงตัวอย่างกรณีความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นระยะเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
- จัดทำแผน 5 ปี ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของบริษัทฯ
- เพิ่มประสิทธิภาพระบบปฏิบัติงาน Windows เพื่อรองรับการใช้งาน Active Directory และ Security by Azure AD